วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

หลักการใช้ Tense 12 Tense

Tense
Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.Present   tense        ปัจจุบัน
               2.Past   tense           อดีตกาล
               3.Future   tense         อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2. Continuous  tense  กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3. Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4. Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).


โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
     [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       
     [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
     [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
     [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
     [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
     [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
     [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
     [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        
     [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
     [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
     [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).  
                
หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้
              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,
1. ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.    
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู้  เป็นต้น.
4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.
6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),unless(เว้นเสียแต่ว่า), as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),  till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.
7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often (บ่อยๆ), every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.
8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.

[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.
1.ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense
4.ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.

 [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.
*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

 [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.

 [2.2]   Past continuous  tense   เช่น   He  was  walking .         เขากำลังเดินแล้ว
1.ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.
3.ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

[2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.
2.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

[2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.            มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.

[3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.
    ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.
       * Shall   ใช้กับ     I    we.
             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.
             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.

[3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.
1.ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.
        -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.
        -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .

[3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.
2.ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
 -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.
 -         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

[3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
    ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
    *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับครู

Number
1 one วัน first  เฟิร์สทฺ
2 two ทู second  เซค เคินดฺ
3 three ธรี third  เธิร์ด
4 four ฟอร์ forth ฟอร์ธ
5 five ไฟว fifth ฟิฟธฺ
6 six  ซิคซฺ sixth ซิคซฺ
7 seven เซฟวฺ เวิน seventh  เซฟวฺ เวินธฺ
8 eight เอท eighth  เอทธฺ
9 nine ไนน ninth  ไนธฺ
10 ten เท็น tenth  เท็นธฺ
11 eleven อิเล็ฟเวิน eleventh อิเล็ฟว เวินธฺ
12 twelve ทเวลฟฺ twelfth ทเวลฟ์ธ
13 thirteen เธอร์ทีน thirteenth เธอร์ทีนธฺ
14 fourteen ฟอร์ทีน fourteenth ฟอร์ทีนธฺ
15 fifteen ฟิฟทีน fifteenth   ฟิฟทีนธฺ
16 sixteen ซิคซฺทีน sixteenth ซิคซฺทีนธฺ
17 seventeen เซฟวฺเวินทีน seventeenth   เซฟวฺเวินทีนธฺ
18 eighteen  เอททีน eighteenth เอททีนธฺ
19 nineteen ไนนทีน nineteenth ไนนทีนธฺ
20 twenty  ทเวน ที twentieth ทเวน ทิเอ็ธ
21 twenty-one ทเวน ทีวัน twenty-first   ทเวน ที เฟิร์สทฺ
22 twenty-two ทเวน ที ทู twenty-second ทเวน ที เซค เคินดฺ
23 twenty-three ทเวน ที ธรี twenty-third  ทเวน ที   เธิร์ด
24 twenty-four ทเวน ที โฟร์ twenty-forth  ทเวน ที ฟอร์ธ
25 twenty-five ทเวน ที ไฟว twenty-fifth  ทเวน ที   ฟิฟธฺ
26 twenty-six ทเวน ที ซิคซฺ twenty-sixth ทเวน ที ซิคซฺ
27 twenty-seven ทเวน ที เซฟวฺเวิน twenty-seventh ทเวน ที   เซฟวฺ เวินธฺ
28 twenty-eight  ทเวน ที เอท twenty-eighth  ทเวน ที  เอทธฺ
29 twenty-nine ทเวน ที ไนน twenty-ninth  ทเวน ที   ไนธฺ
30 thirty เธอร์ที thirtieth เธอร์ทีธ
40 forty  ฟอร์ที fortieth ฟอร์ทิเอ็ธ
50 fifty ฟิฟ ที fiftieth ฟีฟทิเอ็ธ
60 sixty ซิคซิ ที sixtieth  ซิคซิ ทิเอ็ธ
70 seventy   เซฟวฺ เวินที seventieth  เซฟวฺ เวินทิเอ็ธ
80 eighty         เอทที eightieth เอททิเอ็ธ
90 ninety ไนนที ninetieth ไนนทิเอ็ธ
100 one hundred วัน ฮัน เดร็ด one hundredth วัน ฮัน เดร็ดธฺ
101 one hundred and one วัน ฮัน เดร็ด แอนด์ วัน one hundred and first 
วัน ฮัน เดร็ด แอนด์ เฟิร์สทฺ
200 two hundred  ทู ฮัน เดร็ด two hundredth ทู ฮัน เดร็ดธฺ
1000 one thousand วัน เธาเซินดฺ one thousandth วัน เธาเซินธฺ
10,000 ten thousand  เท็น เธาเซินดฺ ten thousandth เท็น เธาเซินธฺ
100,000 one hundred thousand วัน ฮัน เดร็ด เธาเซินดฺ one hundred thousandth  วัน ฮัน เดร็ด เธาเซินธฺ
1,000,000 one million วัน มิลเลียน one millionth วัน มิลเลียนธฺ
10,000,000 ten million เท็น มิลเลียน ten millionth  เท็น   มิลเลียนธฺ
100,000,000 one hundred million วัน ฮัน เดร็ด มิลเลียน one hundred millionth วัน ฮัน เดร็ด มิลเลียนธฺ
1,000,000,000 one billion วัน บิลเลียน one billionth วัน บิลเลียนธฺ


1/2 = one-half วัน - ฮาฟ
1/3 = one-third วัน -  เธิร์ด
1/4 = one-forth วัน - ฟอร์ธ
1/8 = one-eighth วัน -  เอทธฺ
1/10 = one-tenth วัน -  เท็นธฺ
1/50 = one-fiftieth วัน - ฟีฟทิเอ็ธ
1/100 = one hundredth วัน ฮัน เดร็ดธฺ
1/1000 = one thousandthวัน เธาเซินธฺ
 1/1000000 = one millionthวัน มิลเลียนธฺ
2/5 = two fifths ทู   ฟิฟธฺซฺ
3/7 = three sevenths ธรี เซฟวฺ เวินธฺซฺ
11/16 = eleven sixteenthsอิเล็ฟเวิน ซิคซฺทีนธฺซฺ
0.1 = (zero) point one(ซีโร่) พอยนทฺ วัน
0.25 = (zero) point two five(ซีโร่) พอยนทฺ ทู ไฟว
0.33 = (zero) point three three(ซีโร่) พอยนทฺ ธรี ธรี
1.25 = one point two fiveวัน พอยนทฺ ทู ไฟว
2.75 = two point seven fiveทู พอยนทฺ เซฟวฺ เวิน ไฟว
3.654 = three point six five fourธรี พอยนทฺ ซิคซฺ ไฟว โฟร์

+ plus พลัส
- minus ไมนัส
x times (multiplied by)
ไทม์ซฺ (มัลทิเพิล บาย)
= equals อีควัลซฺ
% percent เปอร์เซ็นต์


Time 

Asking the time - การถามเวลา



what's the time?ตอนนี้เวลาอะไร?
what time is it?ตอนนี้เวลาอะไร?

could you tell me the time, please?กรุณาบอกเวลาขณะนี้แก่ฉัน?

do you happen to have the time?ท่านบอกเวลาขณะนี้ได้ไหม?
do you know what time it is?ท่านทราบไหมว่าขณะนี้เวลาอะไร?





Telling the time - การบอกเวลา



it's ...มัน...
exactly ...แน่นอน/ แม่นยำ ...
about ...ประมาณ ...
almost ...เกือบจะ ..
just gone ...เพิ่งจะ ...
one o'clockหนึ่งนาฬิกา
two o'clockสองนาฬิกา
quarter past oneหนึ่งนาฬิกาสิบห้านาที
quarter past twoสองนาฬิกาสิบห้านาที
half past oneหนึ่งนาฬิกาสามสิบนาที
half past twoสองนาฬิกาสามสิบนาที
quarter to twoอีกสิบห้านาทีจะสองนาฬิกา
quarter to threeอีกสิบห้านาทีจะสามนาฬิกา
five past oneหนึ่งนาฬิกาห้านาที
ten past oneหนึ่งนาฬิกาสิบนาที
twenty past oneหนึ่งนาฬิกายี่สิบนาที
twenty-five past oneหนึ่งนาฬิกายี่สิบห้านาที

five to twoอีกห้านาทีจะสองนาฬิกา
ten to twoอีกสิบนาทีจะสองนาฬิกา
twenty to twoอีกยี่สิบนาทีจะสองนาฬิกา
twenty-five to twoอีกยี่สิบห้านาทีจะสองนาฬิกา
ten fifteenสิบนาฬิกาสิบห้านาที
ten thirtyสิบนาฬิกาสามสิบนาที
ten forty-fiveสิบนาฬิกาสี่สิบห้านาที
ten amสิบโมงเช้า
six pmหกโมงเย็น
noon, middayเที่ยงวัน
midnightเที่ยงคืน


Greeting
บทสนทนาภาษาอังกฤษการแนะนำตนเอง
Let me introduce myself.
May I introduce myself?
I’m/My name’s Udom Chaiyo. 
I'm Thai.
I'm from Thailand.
I'm a student at …….. College.
I study at …………… College.
I’m teaching at …………… College.
I’m a teacher of ….. at ….. College.
I work at ….. College.
I live in Chonburi.
I'm in the first year.
I'm a second year student.
I study ……………….
My field of study is ………….
My college is in Rayong.

อื่น ๆ
Certificate of Vocational Education
Diploma of Vocational Education



Introducing other people
บทสนทนาภาษาอังกฤษการแนะนำผู้อื่น
This is Peter.
I'd like you to know Peter.
I'd like to introduce you to Wanna.
I want to introduce my friend May.
I want you to meet my friend John.
Here's Sawat and that's Suphon.

บทสนทนาภาษาอังกฤษคำแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก ได้แก่
(It’s) nice/good to meet/see you.
(I’m) pleased to meet/see you.
(I'm) glad to meet/see you.
It's a pleasure to meet you.









วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
Words
ชนิดของคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดด้วยกัน คือ
1. Nouns (คำนาม)
เช่น God, man, John, American, friend, star, stone, air, mile, beauty ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ แนวคิด นามธรรม และความเชื่อ

2. Pronouns (คำสรรพนาม)
เช่น I, you, he, she, my, your, his, that, who, what, which, one, some ใช้เรียกแทนคำนาม จะได้ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก 

ตัวอย่าง:
  John works at the hospital.   He is a doctor.
  Kate is my friend.   I know her well.
  A book is on the desk.   The book which is on the desk is about history.
  The children are playing outside.   Some of them are crying.
3. Adjectives (คำคุณศัพท์)
ใช้ขยาย noun กับ pronoun เพื่อบรรยายให้เห็นลักษณะของ noun กับ pronoun ชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น adjective สำหรับบอกลักษณะ บอกปริมาณ และบอกจำนวน
     - Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะ เช่น beautiful, healthy, kind, poor, fast, dry, black

ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
Adj. + Adj. + Noun
  An apple   A red apple   A crisp, red apple
  A girl   A tall girl   A beautiful, tall girl
     - Quantifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกปริมาณ เช่น many, much, few, little
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
  An apple   Many apples
  money   A little money
     - Numeral Adjectives หรือคำคุณศัพท์ใช้บอกจำนวนนับลำดับที่ เช่น one, two, three, first, second
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
  A house   Two houses
  Floor   First floor
4. Verbs (คำกริยา)
เช่น go, take, fight, speak, sleep, wait ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในภาคแสดงของประโยค นอกจากนี้ คำกริยายังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
     - Finite Verbs กริยาแท้หรือคำกริยาที่สามารถผันตามประธานและรูปกาลได้
     - Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้

ตัวอย่าง: verb "be" มีกริยาในรูปต่างๆ ดังนี้
  Finite Form   Am, is, are, was, were
  Non-finite Form   Infinitive = to be
  Present Participle = being
  Past Participle = been
  Gerund = being
 
     ประโยค คือส่วนที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะในชีวิตประจำวัน เรามักพูดออกมาเป็นประโยค เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ แต่ประโยคนั้นประกอบขึ้นด้วยคำต่างๆ ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มศึกษาวิธีการแต่งประโยค เราจึงต้องเริ่มต้นศึกษาจากคำก่อน Words
ชนิดของคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดด้วยกัน คือ 1. Nouns (คำนาม)
เช่น God, man, John, American, friend, star, stone, air, mile, beauty ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ แนวคิด นามธรรม และความเชื่อ

2. Pronouns (คำสรรพนาม)
เช่น I, you, he, she, my, your, his, that, who, what, which, one, some ใช้เรียกแทนคำนาม จะได้ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก

ตัวอย่าง:
  John works at the hospital.   He is a doctor.
  Kate is my friend.   I know her well.
  A book is on the desk.   The book which is on the desk is about history.
  The children are playing outside.   Some of them are crying.
3. Adjectives (คำคุณศัพท์)
ใช้ขยาย noun กับ pronoun เพื่อบรรยายให้เห็นลักษณะของ noun กับ pronoun ชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น adjective สำหรับบอกลักษณะ บอกปริมาณ และบอกจำนวน
     - Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะ เช่น beautiful, healthy, kind, poor, fast, dry, black

ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
Adj. + Adj. + Noun
  An apple   A red apple   A crisp, red apple
  A girl   A tall girl   A beautiful, tall girl
     - Quantifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกปริมาณ เช่น many, much, few, little
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
  An apple   Many apples
  money   A little money
     - Numeral Adjectives หรือคำคุณศัพท์ใช้บอกจำนวนนับลำดับที่ เช่น one, two, three, first, second
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
  A house   Two houses
  Floor   First floor
4. Verbs (คำกริยา)
เช่น go, take, fight, speak, sleep, wait ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในภาคแสดงของประโยค นอกจากนี้ คำกริยายังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
     - Finite Verbs กริยาแท้หรือคำกริยาที่สามารถผันตามประธานและรูปกาลได้
     - Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้

ตัวอย่าง: verb "be" มีกริยาในรูปต่างๆ ดังนี้
  Finite Form   Am, is, are, was, were
  Non-finite Form   Infinitive = to be
  Present Participle = being
  Past Participle = been
  Gerund = being

5. Adverbs (คำวิเศษณ์)
เช่น well, fast, long, gently, recently, again, yesterday, soon, rather, perhaps, not
ใช้ขยาย verb, adverb, adjective, preposition, conjunction, phrase, sentence เพื่อเพิ่มความหมายให้กับสิ่งที่ถูกขยาย

ตัวอย่าง:
  ขยาย  verb   He walks.   He walks fast.
  ขยาย  adverb   The dog grows quickly.   The dog grows very quickly.
  ขยาย  adjective   It is hot today.   It is surprisingly hot today.
  ขยาย  preposition   My cat sits beside me.   My cat sits right beside me.
  ขยาย  conjunction   She will come though it is late.   She will come even though
   it is late.
  ขยาย  phrase   The hotel is on the top of
   the mountain.
  The hotel is nearly on the top of
   the mountain.
  ขยาย  sentence   The bus leaves at 10 p.m.   However, the bus leaves at
   10 p.m.
6. Prepositions (คำบุพบท)
เช่น at, in, into, of, for ใช้เชื่อมกริยากับส่วนต่างๆ ของประโยค เพื่อบอกเวลา สถานที่ และทิศทาง ทำให้ประโยคสมบูรณ์

ตัวอย่าง:
  In   He is in the pool.
  On   There is a mark on your shirt.
  At   He always arrives late at school.
  Against   A woman is standing against the door.
  Up to   I sleep up to 8 hours a day.
7. Conjunctions (คำสันธาน)
เช่น and, but, or, nor, that, if, because ใช้เชื่อมคำหรือประโยค มีทั้ง conjunction แบบคล้อยตาม ขัดแย้ง และเป็นเหตุเป็นผล

ตัวอย่าง:
  And   Thais eat with a spoon and fork.
  But   BMW is beautiful but expensive.
  Or   Would you like coffee or tea?
  Neithe...nor   Neither I nor she speaks Spanish.
  Because   Tim passed the exam because he studied hard.
8. Interjections (คำอุทาน)
เช่น oh, alas, hurrah ใช้แสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ

ตัวอย่าง:
  Well   Well! That’s expensive.
  Oh   Oh! That’s great.
ในภาษาอังกฤษคำหนึ่งคำอาจจะเป็นได้มากกว่าหนึ่งชนิด แต่เมื่อใช้ในบริบทหนึ่งๆ แล้ว คำๆ นั้นจะทำหน้าที่ได้แค่เพียงอย่างเดียว เช่น อาจจะเป็น verb หรือ noun หรือ อาจเป็น adverb หรือ preposition ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
  Look: Look at that. (Look = verb)
Let me have a look at that. (look = noun)
  Walk: He walked all the way here. (walked = verb)
He is taking a walk. (walk = noun)
  In: Is John in? (in = adverb) In the house. (In = preposition)
  Up: He climbed up. (up = adverb)
Climb up the wall. (up = preposition)
  After: He looked before and after. (after = adverb)
His dog trotted after him (after = preposition)
After we had left... (After = conjunction)